จามจุรี เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูง 10-20 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างคล้ายรูปร่ม เปลือกแตกเป็นสะเก็ดหนา สีน้ำตาลอมดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม กิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่ม
ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงเวียน แกนกลางเป็นเหลี่ยม มีต่อมนูนรูปรีหรือรูปค่อนข้างกลม อยู่ทางด้านบนระหว่างโคนก้านใบย่อยชั้นที่หนึ่งทุกคู่ ใบย่อยชั้นที่หนึ่งเรียงตรงข้าม มี 2-5 คู่ แกนกลางใบย่อย มีต่อมนูนรูปค่อนข้างกลม อยู่ทางด้านบนระหว่างโคนก้านใบย่อยชั้นที่สองทุกคู่ ใบย่อยชั้นที่สองเรียงตรงข้าม มี 2-10 คู่ คู่ปลายขนาดใหญ่ที่สุด และลดหลั่นลงไปถึงคู่ล่างที่ขนาดเล็กที่สุด ใบย่อยรูปไข่ รูปรี หรือรูปคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน กว้าง 0.7-4 เซนติเมตร ยาว 1.5-6 เซนติเมตร ไม่สมมาตร ปลายมน เว้าตื้น หรือเป็นติ่งแหลม โคนเบี้ยว ขอบเรียบ แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ด้านบนสีเขียวเข้ม เกลี้ยง ด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนสั้นนุ่ม ทุกส่วนของใบมีขนสั้นนุ่ม ใบแก่ก่อนร่วงสีเหลือง
ดอก ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อตั้ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 เซนติเมตร แต่ละช่อมีดอกจำนวนมาก อยู่รวมกันมีลักษณะคล้ายพู่ ดอกวงนอกเล็กกว่าดอกวงใน ดอกกลางช่อขนาดใหญ่ที่สุด กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน มีขนสั้นนุ่มหนาแน่น โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปลำโพง ปลายแยกเป็น 7-8 แฉก รูปสามเหลี่ยม กลีบดอกสีชมพูแกมสีขาวหรือสีชมพู ช่วงล่างเกลี้ยง ช่วงบนมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปลำโพง ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม เกสรเพศผู้จำนวนมาก ก้านชูอับเรณูโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น ส่วนที่แยกกันรูปเส้นด้าย ช่างล่างสีขาว ช่วงบนสีชม รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ
ผล ผลแบบฝักหักข้อ ค่อนข้างแบน รูปขอบขนาน ตรงหรือโค้งเล็กน้อย ผลอ่อนสีเขียว ผลแห้งสีน้ำตาลเข้มอมดำ หรือสีดำ มีรอยคอดและเยื่อกั้นระหว่างเมล็ด เมล็ดสีน้ำตาล ค่อนข้างแบน รูปทรงรี นูนทั้ง 2 ด้าน เปลือกเมล็ดชั้นนอก มีรอยรูปวงรี มี 15-25 เมล็ด
ปลูกเป็นไม้ประดับ ให้ร่มเงา ปลูกเพื่อใช้เลี้ยงครั่ง เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือน ผลแห้งมีรสหวาน ใช้เป็นอาหารของวัวและควาย ใบร่วงใช้ผสมวัสดุปลูกพืชเพื่อเพิ่มธาตุไนโตรเจน
เฮนรี่ สเลต (Henry Slade) เป็นผู้นำจามจุรีเมียนมาเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2443 จามจุรี เป็นพรรณไม้ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นพรรณไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดลำพูน