ลำต้น :ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงถึง 30 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดกลมหรือแผ่กว้างเล็กน้อย เปลือกเรียบสีเทาปนน้ำตาล ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงคลุมหนาแน่น
ใบ :ประกอบแบบขนนก 2 ชั้น เรียงสลับ ยาว 15-40 ซม. ช่อใบแขนงเรียงตรงข้าม 5-9 ช่อ มีใบย่อย 6-18 คู่ ในแต่ละช่อใบ ใบย่อยรูปขอบขนาน กว้าง 5-10 มม. ยาว 10-25 มม. ปลายใบมนเว้าตื้นตรงกลาง โคนใบเบี้ยว ผิวใบด้านบนเกลี้ยงด้านล่างมีขนสีน้ำตาลแดง เส้นแขนงใบข้างละ 6-8 เส้น ก้านใบย่อยยาว 2 มม. ก้านใบหลักยาวประมาณ 5 ซม.
ดอก :ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกห้อยลงยาว 15-30 ซม. สีเหลืองสด ดอกตูมรูปไข่กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ เกสรเพศผู้ 10 อัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 1.8-2 ซม.
ผล :เป็นฝักแห้งแก่ไม่แตก รูปขอบขนานแบนกว้าง 2-4 ซม. ยาว 10-15 ซม. เปลือกสีน้ำตาลแดง เมล็ด เรียงตามขวางมี 4-8 เมล็ดต่อฝัก
แหล่งอ้างอิง อุทยานราชพฤกษ์ เข้าถึงได้จาก https://www.royalparkrajapruek.org/Plants/view?id=1105
1. นิยมใช้ปลูกเป็นไม้เบิกนำ
เนื่องจากเป็นไม้โตเร็ว จึงเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม
2. ต้นอะรางสามารถนำมาปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับได้
เนื่องจากมีลักษณะของทรงพุ่มที่สวยงาม ดอกสวยมีสัน ทนความแล้งได้ดี
ลักษณะโดยรวมคล้ายกับต้นนนทรี แต่ช่อดอกจะห้อยลง เหมาะแก่การปลูกในพื้นที่กว้าง
หรือเป็นไม้ให้ร่มเงาตามสวนสาธารณะ ริมถนน ทางเดิน ที่จอดรถ ตามรีสอร์ท
หรือริมทะเล ฯลฯ
3. เปลือกต้นที่มีอายุมากใช้รับประทานได้
โดยขุดผิวด้านในออกมาแล้วสับให้ละเอียด ใส่ในส้มตำร่วมกับสับปะรดและมดแดง
4. เปลือกสามารถนำมาต้มกับเทียนไข
เพื่อนำมาใช้ถูพื้นได้
5. เปลือกต้นใช้เป็นสีสำหรับย้อมผ้าได้
โดยจะให้สีน้ำตาลแดง
6. เนื้อไม้อะรางสามารถเลื่อยผ่า
ไสกบ และตกแต่งได้ง่าย จึงสามารถนำมาใช้ทำเครื่องเรือน วัสดุในการสร้างบ้าน เช่น
ไม้กระดาน หน้าต่าง วงกบประตู ฯลฯ และยังใช้ทำเป็นเครื่องมือกสิกรรมต่าง ๆ
ได้เป็นอย่างดี
แหล่งอ้างอิง
ศูนย์วิจัยและพัฒนาชาน้ำมันและพืชน้ำมัน เข้าถึงได้จาก
https://www.teaoilcenter.org/%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87/