มะขามเทศเป็นไม้เนื้อแข็ง มีอายุนานหลายปี ลำต้นสูงได้มากกว่า 10 เมตร ลำต้นค่อนข้างกลม เปลือกมีสีน้ำตาล ผิวเปลือกเป็นร่องเล็ก และขรุขระ ลำต้น และกิ่งมีหนามแหลมคม กิ่งแตกออกในระดับต่ำ แตกกิ่งมาก
ใบมะขามเทศมีลักษณะรูปร่างกลมรี
สีเขียว ใบมีขนาดเล็ก และบาง แทงออกบริเวณหนามบนกิ่ง แต่ละจุดหนามจะมี 1-4 ก้านใบหลัก แต่ละก้านใบหลักประกอบด้วยก้านใบย่อยอีก 2 อัน แต่ละก้านใบย่อยจะประกอบด้วยใบจำนวน 2 ใบ
ดอกมะขามเทศจะออกเป็นช่อแบบแพนิเคิล (Panicle) แต่ละช่อดอกมีดอกจำนวนมาก ดอกมี ขนาดเล็ก สีขาว มีฐานรองดอกสีเหลือง ออกดอกประมาณเดือนตุลาคม ดอกจะทยอยบานเรื่อยๆ
ผลหรือฝักของมะขามเทศจะเกิดเป็นช่อ 1-5 ฝัก/ช่อ ฝักมีลักษณะโค้งเป็นวงกลมหรือโค้งเป็นวงแบบสปริง ฝักอ่อนมีลักษณะแบน มีสีเขียว ฝักแก่มีลักษณะนูนเป่ง และเป็นร่องตามตำแหน่งที่มีเมล็ด ฝักที่แก่จะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีชมพู-แดงหรือแดงเข้ม ในแต่ละฝักจะมีเมล็ดประมาณ 2-10 เมล็ด ฝักอ่อนจะเริ่มติดหลังดอกบานประมาณเดือนพฤศจิกายน และจะติดฝักเรื่อยๆจนถึงเดือนธันวาคม เมล็ดมะขามเทศมีลักษณะแบน และนูนตรงกลาง มีรูปทรงคล้ายหยดน้ำ ขนาดเมล็ดกว้างประมาณ 0.5 เซนติเมตร หนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เมล็ดอ่อนมีสีเขียว เมื่อฝักแก่ เมล็ดจะมีสีดำ
แหล่งอ้างอิง พืชเกษตร.คอม เข้าถึงได้จากhttps://puechkaset.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/
1. ประโยชน์จากผล
– ผลมะขามเทศมีทั้งผลที่มีรสฝาด และรสหวาน ซึ่งสามารถรับประทานได้ โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีเนื้อหวานจะมีการปลูกสำหรับรับประทาน และบางแห่งมีการปลูกเพื่อเก็บฝักหรือผลจำหน่ายเป็นรายได้ของครอบครัว
– เปลือกฝัก ใช้เป็นอาหารสัตว์ นำไปเลี้ยงหมูได้
2. ประโยชน์จากไม้
– เนื้อไม้ และกิ่งใช้ทำฟืนหุงหาอาหาร หรือนำมาเผาถ่าน
– เนื้อไม้นำมาแปรรูปเป็นไม้ก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เนื่องจากแก่นในของไม้มะขามเทศให้เนื้อสีน้ำตาลปนแดงถึงดำ ด้านข้างมีสีเลืองน้ำตาล เนื้อไม้เหนียว แข็ง และทนต่อหมอดปลวกได้ดี