ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง ๑๒ เมตร
ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่กลับ ยาว ๙ - ๓๐ ซม. ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม เส้นแขนงใบ ๑๒ - ๒๕ เส้น
ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงตามปลายกิ่ง ช่อดอกยาว ๘ - ๓๕ ซม. ดอกสีขาว ก้านดอกยาว ๑ - ๔ ซม. กลีบดอกและกลีบเลี้ยงมีจำนวนอย่างละ ๕ กลีบ กลีบเลี้ยงรูปแถบหรือรูปใบหอกกลับ ยาว ๐.๘ - ๒.๕ ซม. กลีบดอกเรียงซ้อนทับกันด้านซ้ายในตาดอก ดอกบานมีแต้มเหลืองรอบปากหลอดกลีบดอก หลอดกลีบยาว ๑ - ๒ ซม. แฉกกลีบยาว ๑.๒ - ๓.๘ ซม. เกสรเพศผู้ ๕ อัน ติดกลางหลอดกลีบดอก
ผลกลมหรือรูปไข่ ยาว ๔.๕ - ๗.๗ ซม. สีเขียว
การกระจายพันธุ์ : พบตั้งแต่ประเทศศรีลังกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิภาคมาเลเซีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และนิวคาเลโดเนีย ในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคใต้ ขึ้นตามป่าชายเลน ป่าบึงน้ำจืดและป่าชายหาด
แหล่งอ้างอิงฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาสง่า สรรพศรี องค์การสวนพฤกษศาสตร์ เข้าถึงได้จากhttp://www.qsbg.org/Database/Botanic_Book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=2350
ประโยชน์ในการปรุงยา
ผลสด นำผลสดมาเผาไฟให้ร้อนแล้วเอาผ้าห่อประคบบริเวณที่เป็นรักษาโรคริดสีดวงทวาร รักษาโรคผิวหนังผลสด บดหรือขยี้คั้นเอายางทาบริเวณที่ปวดเมื่อย ผลสด เผาผสมน้ำมันพืชทาแก้โรคเจ็ด หรือโรคาปลา
เมล็ด เบื่อเหา รักษาหิด นำเมล็ดบดให้ละเอียดผสมน้ำ นำมาสระผมหรือทาบริเวณที่เป็นหิด
เนื้อไม้ข้างใน ต้มน้ำรับประทานวันละ 2-4 ครั้ง ขับน้ำคาวปลาในสตรีคลอดบุตร
เปลือก ต้มรับประทาน บรรเทาโรคนิ่ว และลดไข้
ราก ต้มรับประทาน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
แหล่งอ้างอิง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เข้าถึงได้จาก https://km.dmcr.go.th/th/c_1/s_350/d_6421